รวมคำถาม

ตอบครบทุกข้อสงสัย

คำถามที่พบบ่อย : ตรวจการตั้งครรภ์

ควรตรวจการตั้งครรภ์เร็วสุดกี่วันถึงจะรู้ว่าคุณแม่ตั้งครรภ์  สามารถตรวจการตั้งครรภ์ได้ทันที หลังจากที่พบว่าประจำเดือนมาไม่ปกติหรือมีอาการบ่งบอกที่สงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์

ส่วนใหญ่สามารถซื้อที่ตรวจครรภ์ แล้วตรวจด้วยตนเองก่อนได้ค่ะ  มักจะตรวจเจอหลังจากที่มีการปฏิสนธิไปแล้ว 7-10 วัน หรือ ประจำเดือนขาดไปเพียง 1 วัน ก็สามารถตรวจได้ทันทีค่ะ

 หลังจากนั้นหากผลลัพธ์ขึ้น 2 ขีด แสดงว่ามีโอกาสตั้งครรภ์สูง  ควรรีบมาตรวจเพื่อยืนยัน และเข้ารับการฝากครรภ์ต่อไปค่ะ

  • ประจำเดือนไม่มาตามปกติ
  • มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีอาการไวต่อกลิ่นต่างๆ โดยเฉพาะกลิ่นอาหาร
  • ปัสสาวะบ่อยๆ
  • อารมณ์แปรปรวนง่าย 
  • เหนื่อยง่าย รู้สึกอ่อนเพลีย อยากนอนมากว่าปกติ
  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • คัดตึงเต้านม 

หลักการตรวจการตั้งครรภ์จะตรวจจากการหาค่าฮอร์โมน Human Chorionic Gonadotropin หรือที่เรียกสั้นว่า ๆ ฮอร์โมนเอชซีจี (hCG) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกิดจากตัวรกหลังจากที่ปฏิสนธิ 6 วันขึ้นไป โดยระดับปริมาณฮอร์โมนเอชซีจีสามารถบอกการตั้งครรภ์และอายุครรภ์คร่าว ๆ ได้ โดยสามารถตรวจได้ 2 วิธีดังนี้

  1. ตรวจปัสสาวะด้วยที่ตรวจครรภ์

เป็นอุปกรณ์ตรวจครรภ์ด้วยตนเองที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา หรือร้านค้าทั่วไป โดยจะตรวจหาค่าฮอร์โมนเอชซีจีจากการตรวจปัสสาวะ ซึ่งมีให้เลือกหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ปัสสาวะปล่อยผ่าน แบบหยด แบบตลับ และแบบจุ่ม โดยจะแสดงผลอยู่ 3 แบบ ได้แก่

  • ขึ้น 2 ขีด ที่ C และ T เป็นผลบวก หมายถึง มีโอกาสตั้งครรภ์
  • ขึ้นขีดเดียวที่ C เป็นผลลบ หมายถึง ไม่ตั้งครรภ์
  • ไม่มีขีดขึ้น หมายถึง ที่ตรวจครรภ์เสีย หมดอายุ หรือเกิดข้อผลพลาดในขั้นตอนเก็บปัสสาวะ

 

ทั้งนี้การใช้ที่ตรวจครรภ์เป็นการตรวจตั้งครรภ์เบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งอาจมีผลลบลวง หรือผลบวกลวงได้ แนะนำให้ไปพบคุณหมอเพื่อตรวจยืนยันความแม่นยำอีกทีค่ะ

       2. ตรวจเลือดที่คลินิก หรือโรงพยาบาล

การตรวจเลือดหาค่าฮอร์โมนเอชซีจีจะมีความแม่นยำ 100% เป็นวิธีที่คุณหมอมักใช้ในการตรวจยืนยันการตั้งครรภ์ โดยจะเจาะเลือดของคุณแม่ส่งตรวจในห้องปฏิบัติการ และจะทราบผลในวันถัดไป คุณแม่สามารถมาตรวจที่คลินิกได้เลย สะดวกและรวดเร็วกว่าไปโรงพยาบาล

การตรวจอัลตราซาวด์สามารถใช้ตรวจการตั้งครรภ์ได้ โดยจะสามารถตรวจได้หลังจากที่มีอายุครรภ์ 5 สัปดาห์ขึ้นไป โดยจะมีเป้าหมายในการตรวจหาตำแหน่งถุงการตั้งครรภ์ว่า อยู่ในมดลูก หรืออยู่นอกมดลูก ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยของการตั้งครรภ์อย่างมาก 

  • มีบริการตรวจการตั้งครรภ์ทุกวิธี 
  • ได้รับการดูแลและรักษาอย่างใกล้ชิดกับคุณหมอ
  • มีบริการฝากครรภ์ดูแลอย่างต่อเนื่อง
  • ค่าบริการฝากครรภ์เบิกประกันสังคมได้สูงสุด 1,500 บาท
  • สะดวกและรวดเร็ว ไม่ต้องรอคิวนาน

การมาฝากครรภ์กับคุณหมออย่างต่อเนื่อง จำเป็นอย่างยิ่งเพราะในระหว่างที่คุณแม่ตั้งครรภ์ อาจเกิดผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้ ดังนั้นการที่คุณแม่ได้รับการดูแลโดยคุณหมอสูตินรีแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการฝากครรภ์ ก็จะช่วยลดการเกิดความเสี่ยงเหล่านี้ได้มาก และสามารถวางแผนรับมือได้อย่างเหมาะสม ภาวะเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้กับคุณแม่ตั้งครรภ์ มี 2 ภาวะดังนี้

ท้องลม  (Blighted Ovum) : เป็นการตั้งครรภ์ที่ไม่มีตัวอ่อน หรือตัวอ่อนสลายไปแล้วตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์ เมื่อทำการอัลตราซาวด์จึงพบว่ามีเพียงถุงตั้งครรภ์ แต่ไม่พบตัวอ่อน เป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้กับสาว ๆ ทุกคน ไม่สามารถป้องกันได้ และจะยิ่งพบมากขึ้นในสาว ๆ ที่มีอายุมาก

ท้องนอกมดลูก : เป็นภาวะการตั้งครรภ์ที่อยู่บริเวณอื่นนอกโพรงมดลูก โดยส่วนใหญ่จะพบว่าตัวอ่อนไปฝังตัวอยู่บริเวณท่อนำไข่ แต่ก็สามารถพบการฝังตัวอ่อนที่บริเวณอื่น ๆ ได้เช่นกัน จัดเป็นภาวะผิดปกติที่เมื่อพบแล้วจะต้องยุติการตั้งครรภ์ทันที เพราะอาจเป็นอันตรายต่อตัวคุณแม่

คำถามที่พบบ่อย : บริการฝากครรภ์

  • กรณีฝากครรภ์ครั้งแรกกับทางคลินิก : เพียงคุณแม่นำบัตรประจำตัวประชาชน (หรือใบขับขี่ หรือเอกสารยืนยันที่ออกโดยรัฐและมีภาพถ่ายชัดเจน) ส่วนสำหรับคุณแม่ที่เป็นชาวต่างชาติก็สามารถใช้หนังสือเดินทาง(พาสปอร์ต) หรือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย(บัตรชมพู) แทนได้
  • กรณีเป็นการย้ายมาฝากครรภ์จากที่อื่น : เตรียมบัตรประจำตัวประชาชนของคุณแม่ พร้อมทั้งเอกสารการฝากครรภ์เดิมที่ได้รับมาด้วย เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลในการดูแลครรภ์อย่างต่อเนื่อง 

ตรวจสุขภาพโดยสูตินรีแพทย์ ดังนี้

  • ซักประวัติสุขภาพและโรคประจำตัว
  • ตรวจสุขภาพร่างกายทั่วไป
  • ตรวจอัลตราซาวด์เพื่อดูตำแหน่งการตั้งครรภ์ กำหนดอายุครรภ์ และวันครบกำหนดคลอด
  • ตรวจตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) 
  • ตรวจปัสสาวะ (UA) 
  • ตรวจหาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg) 
  • ตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) 
  • ตรวจหาการติดเชื้อซิฟิลิส (Syphilis Ab) 
  • ตรวจหากรุ๊ปเลือด (ABO group)
  • ตรวจหากรุ๊ปเลือด (Blood group Rh)
  • ตรวจคัดกรองธาลัสซีเมีย (Hemoglobin Typing)

 

หลังจากการตรวจสุขภาพร่างกายแล้ว คุณหมอจะจ่ายยาบำรุงครรภ์และยาอื่นๆ ที่จำเป็นต่อคุณแม่

พร้อมแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพ สิ่งที่ควรระวังและหลีกเลี่ยงระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อให้คุณแม่และทารกในครรภ์มีสุขภาพที่แข็งแรง

  • ตรวจสุขภาพร่างกายทั่วไป พบคุณหมอสูตินรีแพทย์
  • ตรวจคัดกรองความเสี่ยงโปรตีน/น้ำตาล แบบตรวจปัสสาวะ (ตรวจทุกครั้งที่นัด)
  • ตรวจอัลตราซาวด์เพื่อดูความสมบูรณ์ และพัฒนาการของทารกในครรภ์ (ตรวจทุกครั้งที่นัด)
  • รับยาบำรุงครรภ์ (ได้รับทุกครั้งที่นัด)

ปกติคุณหมอจะนัดทุกๆ 4 สัปดาห์ค่ะ ในช่วงที่ใกล้คลอด จะนัดถี่ขึ้นอาจจะเป็นทุก 2 สัปดาห์ค่ะ

 

อย่างไรก็ตาม ในคุณแม่บางท่านที่มีความเสี่ยงของการตั้งครรภ์สูง อาจจะได้รับคำแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติมหรือมีการนัดติดตามอาการถี่ขึ้นค่ะ เช่น การตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือคัดกรองความเสี่ยงดาวน์ซินโดรม คู่เสี่ยงโรคธาลัสซีเมีย รวมถึงการฉีดวัคซีนสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่จำเป็นต้องได้รับ อันได้แก่ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก

คำถามที่พบบ่อย : อัลตราซาวด์ 2D/3D/4D

เป็นกระบวนการที่ใช้คลื่นเสียงสูงความถี่เพื่อสร้างภาพของทารกในครรภ์ ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่สำคัญในการตรวจสุขภาพของทารกและการติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ช่วยวินิจฉัยโรคหรือปัญหาทางสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ อีกทั้งยังช่วยระบุเพศและตรวจสอบความเป็นปกติของอวัยวะภายในของทารกด้วย

การตรวจอัลตราซาวด์ในแต่ละช่วงอายุครรภ์ มีประเด็นที่สำคัญแตกต่างกัน โดยแบ่งเป็น 3 ไตรมาส

  • ไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ (เริ่มตั้งครรภ์ – อายุครรภ์ 14สัปดาห์) : ช่วงนี้จะเป็นการอัลตราซาวด์เพื่อยืนยัน การตั้งครรภ์ในโพรงมดลูก(ไม่ใช่ท้องนอกมดลูก), ประเมินอายุครรภ์ และกำหนดวันคลอด และฟังเลียงหัวใจของทารกในครรภ์ได้
  • ไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ (อายุครรภ์ 14 – 22สัปดาห์) : ช่วงนี้สำคัญมาก เป็นช่วงเวลาของการตรวจอัลตราซาวด์เพื่อประเมินอวัยวะต่างๆ ของทารกในครรภ์ หรือเรียกว่า การอัลตราซาวด์ประเมินความสมบูรณ์ของทารก (Fetal anomaly scan) ตั้งแต่ศีรษะ แขน ขา อวัยวะภายในต่างๆ รวมไปถึงทราบเพศของลูกด้วย
  • ไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์ (อายุครรภ์ 28 – 32สัปดาห์ขึ้นไป) : ช่วงนี้จะเป็นช่วงทำน้ำหนักของทารกในครรภ์ การอัลตราซาวด์จะเน้นประเมินการเจริญเติบโตของทารก ดูน้ำหนักว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่, ปริมาณน้ำคร่ำ รก และเส้นเลือดสายสะดือ ซึ่งทั้งหมดสามาถบ่งบอกถึงสุขภาพของทารกในครรภ์ นอกจากนี้ใบหน้าของทารกจะชัดเจนขึ้น แนะนำให้ “อัลตราซาวด์ 4มิติ”ในช่วงนี้ได้เลย
  • อัลตราซาวด์ 2มิติ (2D Ultrasound) : ภาพแสดงเป็นภาพสองมิติที่แสดงโครงร่างของทารก และส่วนต่างๆ ของร่างกาย จะใช้ในการตรวจวินิจฉัยและติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ภาพจะมีลักษณะเป็นขาว-ดำ

 

  • อัลตราซาวด์ 4มิติ (4D Ultrasound) : เป็นการนำภาพ 3มิติมาเรียงต่อกันจนได้ภาพเคลื่อนไหวเสมือนจริง โดยภาพที่ได้จะเป็นเหตุการณ์ปัจจุบันแบบเรียลไทม์(Real time) ซึ่งช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มีโอกาสเห็นลักษณะการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ เช่น การหาว การยิ้ม ดูดนิ้ว ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ภาพมีลักษณะเป็นสีเนื้อ 
  1. คุณหมอจะทำการทาเจลเย็นที่เป็นสื่อกลางของคลื่นเสียงความถี่สูงบริเวณท้องของคุณแม่
  2. หลังจากนั้นจะใช้อุปกรณ์ที่ชื่อว่า “ทรานสดิวเซอร์ (Transducer)” ตรวจบริเวณท้องของคุณแม่
  3. อุปกรณ์จะส่งคลื่นเสียงในบริเวณท้องผ่านไปยังบริเวณมดลูก แล้วสะท้อนกลับมายังหัวตรวจ
  4. เครื่องตรวจจะทำการเก็บข้อมูลที่ได้จากคลื่นเสียงที่สะท้อนกลับมา แล้วแปลงเป็นภาพไปที่จอมอนิเตอร์
  5. คุณแม่จะสามารถเห็นการเคลื่อนไหวและการแสดงสีหน้าของลูกผ่านจอมอนิเตอร์ได้แบบเรียลไทม์ และชัดเจน

แนะนำให้ตรวจในช่วง 24 สัปดาห์เป็นต้นไป เพราะจะมีโอกาสมองเห็นหน้าของลูกได้อย่างชัดเจน แต่หากอายุครรภ์มากกว่า 35 สัปดาห์ขึ้นไปแล้วก็อาจจะเริ่มเห็นใบหน้าของลูกไม่ชัด เนื่องจากทารกเริ่มกลับหัวและเข้าสู่ช่องเชิงกรานแล้ว

  • เพศของลูก
  • แขน ขา มือ เท้าและนิ้ว
  • ใบหน้าและอวัยวะต่างๆ บนใบหน้า
  • โครงสร้างกะโหลกศีรษะ สมอง หัวใจและการไหลเวียนเลือด
  • ตำแหน่งของทารก สายสะดือ และปริมาณน้ำคร่ำ
  • กระดูกสันหลัง กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ และไต
  • การเจริญเติบโต และพัฒนาการของทารก

ค่าบริการตรวจอัลตราซาวด์ 4มิติ ภาพชัดเสมือนจริง ราคาโปรโมชั่น 2,250 บาท/ครั้ง รวมค่าบริการทางการแพทย์แล้ว โดยคุณแม่จะได้รับไฟล์ภาพและวิดีโอทั้งหมดส่งทางแชทเพจ และรูปภาพสีขนาด A4

คำถามที่พบบ่อย : ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม

ดาวน์ซินโดรม (Down’s syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่ผิดปกติ แต่กำเนิด เกิดจากการมีโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง โดยดาวน์ซินโดรมนับว่าเป็นความผิดปกติทางโครโมโซมที่พบได้บ่อยที่สุดค่ะ

ทารกที่เป็นดาวน์ซินโดรม จะมีพัฒนาการที่ช้ากว่าปกติ มีความบ่งพร่องทางสติปัญญา และอาจมีความผิดปกติของอวัยวะอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น หัวใจ ทางเดินอาการ และระบบต่อมไร้ท่อ เป็นต้น

คุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคน มีความเสี่ยงที่จะมีลูกเป็นดาวน์ซินโดรมค่ะ แต่ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตาม อายุของคุณแม่ โดยถ้าคุณแม่มีอายุมาก(โดยเฉพาะถ้ามากกว่า 35 ปี) ความเสี่ยงในการมีลูกเป็นดาวน์ซินโดรมจะสูงกว่าคุณแม่ที่อายุน้อย หรือผู้ที่เคยมีประวัติคนในครอบครัวเป็นดาวน์ซินโดรม และคุณแม่ที่เคยคลอดบุตรคนก่อนเป็นดาวน์ซินโดรม หากตั้งครรภ์ครั้งต่อไป จะมีโอกาสที่ทารกเป็นดาวน์ซินโดรมค่ะ

คำถามที่พบบ่อย : การตรวจภายใน

ผู้หญิงทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสาวเล็กหรือสาวใหญ่ ตรวจเข้ารับการตรวจภายใน เพื่อให้คุณหมอช่วยคัดกรองความผิดปกติให้ เนื่องจากโรคนรีเวชหลายชนิด อาจไม่อาการแสดงอาการให้ตัวคนไข้เองสังเกตได้ จนกว่าตัวโรคจะเริ่มเป็นมากและรักษายากแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น ช็อกโกแลตซีสต์ (chocolate cyst), เนื้องอกรังไข่ (ovarian tumor) ซึ่งสองโรคนี้จะต้องมีขนาดใหญ่มาก คนไข้ถึงจะคลำได้เองและมาพบแพทย์, เนื้องอกหรือติ่งเนื้อโพรงมดลูก, มะเร็งรังไข่หรือมะเร็งปากมดลูก หรือสาวๆคนไหนที่มีอาการผิดปกติ ตัวอย่างเช่น ปวดท้องประจำเดือนหรือปวดอุ้งเชิงกราน, ประจำเดือนมาผิดปกติหรือมามาก, มีเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ, ตกขาวผิดปกติ, มีแผลบริเวณอวัยวะเพศ, คลำก้อนได้ที่ท้องน้อย, มีบุตรยาก

อาการเหล่านี้ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุโดยเร็วค่ะ การตรวจภายในเป็นประจำทุกปี ทำให้ตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ทำให้การรักษาเป็นไปได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • สำหรับสาวๆไทยนั้น แนะนำให้เริ่มเข้ารับการตรวจภายในตั้งแต่อายุ 25 ปี หรือภายหลังมีเพศสัมพันธ์ 3 ปี โดยในการตรวจภายในนั้น แนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกไปด้วยพร้อมๆกันเลยค่ะ

  • ตรวจปีละ 1 ครั้ง หรือ หากมีอาการผิดปกติที่กล่าวไปข้างต้น สามารถมาตรวจก่อนครบรอบได้

  • หยุดตรวจที่อายุ 65 ปี 

ตกขาวปกติจะมี สีขาวหรือใส และไม่มีกลิ่นเหม็น แต่สำหรับอาการตกขาวที่ผิดปกติ จะมีสีที่ต่างไปจากเดิม มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ และเป็นก้อนหนา ดังต่อไปนี้ค่ะ

  • ตกขาวจากเชื้อรา : มีสีเหลืองขาว ขนาดก้อนเล็ก มีกลิ่นเหม็นอับ แสบคันบริเวณช่องคลอด เกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะ หรือผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ
  • ตกขาวจากเชื้อแบคทีเรีย : มีสีเหลืองปนเขียว มีกลิ่นคาวหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากตกขาวที่เกิดจากโรคหนองในจะมีสีเหลืองเข้ม และมีอาการแสบคันมาก
  • ตกขาวจากการติดเชื้อจากพยาธิในช่องคลอด : เกิดจากเชื้อที่ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ เมื่อผู้หญิงหมดประจำเดือนเยื่อบุช่องคลอดบางลง ทำให้ติดเชื้อและอักเสบได้ง่าย มีกลิ่นปรี้ยวและแสบคันช่องคลอด
  • ตกขาวจากช่องคลอดแห้ง : มีสีขาวใส อาจมีเลือดปนได้เล็กน้อย มีอาการแสบคันช่องคลอด เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ เป็นมากในวัยหมดประจำเดือน
  • ตกขาวจากมะเร็งปากมดลูก : มีสีขาวเหลือง อาจมีเลือดปน มักมีกลิ่นแรง ร่วมกับมีเลือดออกผิดปกติหลังมีเพศสัมพันธ์

คำถามที่พบบ่อย : ประจำเดือนผิดปกติ

  • รอบเดือนมาทุก 24-38 วัน โดยคลาดเคลื่อนได้ไม่เกิน 7 วัน
  • ระยะเวลาที่มีประจำเดือนในแต่ละรอบ 3-8 วัน
  • ปริมาตรของประจำเดือนรวมทุกวัน 30-80 ซีซี
  • ไม่มีลิ่มเลือดปน

ประจำเดือนที่ผิดปกติ พูดง่ายๆก็คือ ไม่ได้เป็นไปตามแบบแผนของประจำเดือนที่กล่าวไปนั่นเองค่ะ โดยเป็นได้ทั้งผิดปกติที่รอบเดือนมาถี่ไปหรือห่างไป, ประจำเดือนมากะปริบกะปรอย, ประจำเดือนมามาก และ/หรือมีลิ่มเลือดปน, มีเลือดออกนอกรอบประจำเดือนค่ะ

หากมีประจำเดือนผิดปกติ อันตรายไหม ?

อันตรายแน่นอนค่ะ เพราะการที่มีประจำเดือนผิดปกติ มักมีสาเหตุทางกายภาพค่ะ โดยสาเหตุที่พบบ่อยก็แตกต่างไปตามกลุ่มอายุ ยกตัวอย่างเช่น มีประจำเดือนห่าง ร่วมกับมีสิวและผิวมันจากภาวะไข่ไม่ตกเรื้อรัง มีฮอร์โมนไม่สมดุล ซึ่งพบบ่อยในวัยรุ่น, มีติ่งเนื้อในโพรงมดลูก เนื้องอกมดลูก มดลูกโต มีเซลล์ปากมดลูกผิดปกติ ซึ่งพบได้ในสาวๆวัยเจริญพันธุ์, และที่อันตรายที่สุดคือ เป็นอาการแสดงของมะเร็งซึ่งมักพบในช่วงอายุวัยกลางคนขึ้นไปค่ะ

ดังนั้นการมีประจำเดือนผิดปกติ ไม่ควรปล่อยไว้รอหายเองนะคะ เพราะก่อนที่จะหาย อาจได้โรคอื่นแทรกซ้อนขึ้นมาก่อนค่ะ แนะนำปรึกษาคุณหมอตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อช่วยวินิจฉัยก่อนจะเกิดโรคที่อันตรายและรักษายาก

อันดับแรกจะต้องพบคุณหมอเฉพาะทางเฉพาะทางเพื่อสอบถามประวัติเบื้องต้นก่อนนะคะ ทั้งอายุโรคประจำตัว, ยาประจำที่ใช้อยู่, ลักษณะประจำเดือน และระยะเวลาที่เกิดความผิดปกติค่ะ จากนั้นคุณหมอจะตรวจเพิ่มเติมด้วย การตรวจภายในและอัลตราซาวด์มด/ลูกรังไข่ เพื่อประเมินรอยโรคที่ปากมดลูก ขนาดมดลูก เนื้องอก ติ่งเนื้อ พังผืด และปีกมดลูกค่ะ

ซึ่งในขั้นตอนนี้ แนะนำให้สาวๆตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกไปพร้อมกันเลยค่ะ เพราะรอยโรคบริเวณปากมดลูกสามารถทำให้เกิดเลือดออกได้เช่นกันนะคะ 

คำถามที่พบบ่อย : ประจำเดือนผิดปกติ

โรคมะเร็งปากมดลูก คือ โรคมะเร็งที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแปปิโลมาไวรัส (Human papillomavirus) สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง 14 สายพันธ์ุ ได้แก่ 16, 18, 31, 33, 35, 39, 45, 51, 52, 56, 58, 59, 66 และ 68 ซึ่งจะได้รับจากการมีเพศสัมพันธ์ แล้วทำให้บริเวณนั้น ๆ เกิดรอยถลอก หรือบาดแผลเล็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็น เยื่อบุผิวปากมดลูก เยื่อบุผิวช่องคลอด หรือปากช่องคลอด ทำให้ติดเชื้อ และส่งผลให้เซลล์บริเวณปากมดลูกเกิดความผิดปกติ และกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด

ถึงแม้จะดูเป็นโรคที่น่ากลัว แต่มะเร็งปากมดลูกไม่ได้ถ่ายทอดผ่านกรรมพันธุ์ และเป็นหนึ่งในโรคมะเร็งไม่กี่ชนิดที่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน HPV ค่ะ

วิธีการตรวจมะเร็งปากมดลูกที่นิยม จะมีอยู่ 4 วิธีหลัก ๆ ดังนี้

  1. ตรวจแปปเสมียร์ (Pap Smear)

การตรวจแปบเสมียร์* เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกแบบดั้งเดิม โดยคุณหมอจะใช้เครื่องมือสอดและถ่างบริเวณปากช่องคลอด แล้วใช้แปรงเล็ก ๆ ป้ายเซลล์จากบริเวณมดลูกส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจหาเซลล์ที่ผิดปกติ หรือเซลล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นโรคมะเร็งได้

 

  1. ตรวจลิควิดเบส (Liquid based) หรือ ตินแพร็พ แป๊บ เทสต์ (ThinPrep Pap Test)

การตรวจลิควิดเบสเป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกรูปแบบใหม่ โดยจะใช้แปรงเก็บตัวอย่างเซลล์ไว้ในน้ำยาเพื่อรักษาเซลล์ มีข้อดีกว่าการตรวจแปบเสมียร์ ดังนี้

  • เก็บตัวอย่างเซลล์ได้มากกว่า ช่วยลดปัญหาเก็บตัวอย่างไม่พอ 
  • สามารถนำตัวอย่างเซลล์ไปตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ได้โดยที่ไม่ต้องเก็บตัวอย่างซ้ำ
  • สามารถกำจัดสิ่งปนเปื้อนในตัวอย่างเซลล์ เช่น มูก หรือเลือด ช่วยลดสิ่งบดบัง และทำให้ตรวจได้แม่นยำมากขึ้น โดยจะให้ผลที่แม่นยำสูงถึง 70 – 85%

การตรวจลิควิดเบสนั้น จะแนะนำให้ตรวจทุก ๆ 1 – 2 ปี โดยปกติแล้ว จะสามารถตรวจได้ตั้งแต่ตอนอายุ 30 ปีขึ้นไป แต่ในบางรายอาจเริ่มตรวจได้ตั้งแต่อาย 25 ปีขึ้นไป ขึ้นอยู่กับการประเมินของคุณหมอ

 

  1. ตรวจหาเชื้อไวรัสเอชพีวีจากดีเอ็นเอ (HPV DNA Test)

เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัสเอชพีวีโดยตรงด้วยเทคนิคด้านชีวโมเลกุล จะมีวิธีการเหมือนกับการตรวจลิควิดเบส แต่จะเก็บตัวอย่างเซลล์ในน้ำยาสำหรับ HPV DNA test โดยเฉพาะ แล้วทำการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ข้อดีของการตรวจ HPV DNA test  จะสามารถตรวจหาเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็งปากมดลูก ได้แก่ 16, 18, 31, 33, 35, 39, 45, 51, 52, 56, 58, 59, 66 และ 68 ซึ่งจะมีความไวในการตรวจหารอยโรคก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูกได้เร็วกว่าวิธีอื่น ๆ
การตรวจ HPV DNA test นั้น แนะนำให้ตรวจทุก 3 – 5 ปี โดยปกติแล้ว จะสามารถตรวจได้ตั้งแต่ตอนอายุ 30 ปีขึ้นไป  แต่ในบางรายอาจเริ่มตรวจได้ตั้งแต่อาย 25 ปีขึ้นไป ขึ้นอยู่กับการประเมินของคุณหมอ

 

  1. ตรวจแบบคู่ (Co-testing)

 เป็นการนำวิธีตรวจลิควิดเบส และ HPV DNA Test มาร่วมกัน ทำให้มีความแม่นยำสูงสุด มีความไวในการตรวจเจอรอยโรคก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูกได้สูงถึง 99% และดูได้ลึกถึงเชื้อก่อโรคว่า เป็นเชื้อไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์อะไร

โดยการตรวจแบบคู่จะแนะนำให้ตรวจทุก 3 – 5 ปี และสามารถตรวจได้ตั้งแต่ตอนอายุ 30 ปีขึ้นไปเช่นกันค่ะ

การตรวจมะเร็งปากมดลูกจะเหมาะกับสาว ๆ ที่มีเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว หรือมีอายุ 30 ปีขึ้นไปค่ะ

 โดยปกติแล้ว ผู้หญิงทุกคนควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เมื่อมีอายุ 30 ปี และหลังจากนั้นให้ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกซ้ำทุก 2 – 3 ปี ขึ้นอยู่กับการประเมินของคุณหมอ

หลังจากที่ตรวจมะเร็งปากมดลูกแล้ว หากผลเป็นปกติ ให้ตรวจทุก ๆ 2 ปี และถ้าผลเป็นปกติติดต่อกัน 3 ครั้ง ร่วมกับไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ต่อการเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก เช่น มีการติดเชื้อ HIV มีคู่นอนหลายคน มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย หรือคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก สามารถเว้นระยะห่างการตรวจเป็นทุก ๆ 2 – 3 ปี ได้ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้ทำการตรวจให้เพิ่มเติม

คำถามที่พบบ่อย : โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อโรคและความรุนแรงของโรค อาการที่พบบ่อยในผู้หญิง ได้แก่

  • ตกขาวผิดปกติ
  • คันหรือแสบในอวัยวะเพศ
  • มีผื่นหรือแผลที่อวัยวะเพศ
  • ปัสสาวะแสบขัด มีหนองหรือเลือดปนออกมา
  • ปวดท้องน้อย
  • มีไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • มีประวัติเปลี่ยนคู่นอน และ/หรือ มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน
  •  

อย่างไรก็ตาม โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อันตรายบางชนิดไม่ได้มีอาการแสดงที่ชัดเจน ดังนั้นหากประเมินแล้วว่าตนเองว่ามีความเสี่ยงในการเกิดโรค ควรพิจารณาเข้ารับการตรวจหาเชื้อจากสารคัดหลั่ง หรือการเจาะเลือดอย่างเหมาะสม เพื่อให้ตรวจจับเชื้อได้ตั้งแต่ก่อนมีอาการรุนแรง

การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นกับอาการและสิ่งที่ต้องการจะตรวจ โดยอาจแบ่งตามวิธีการได้ดังนี้ค่ะ

  • การตรวจร่างกายและตรวจภายใน
    จะเหมาะสมในผู้ป่วยที่มีอาการแสดงชัดเจนค่ะ เช่น แผล/ผื่น, มีตกขาว หรือหนองจากอวัยวะเพศ ปวดท้องน้อย หรือมีไข้ กรณีนี้แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยจากรอยโรคที่ตรวจพบ และอาจพิจารณาให้การรักษาได้เลย
  • การเจาะเลือดตรวจวิเคราะห์
    จะใช้ในการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มักไม่มีอาการแสดงในระยะต้นค่ะ ได้แก่ เชื้อ HIV (Human immunodeficiency virus), ไวรัสตับอักเสบบี และซี และเชื้อซิฟิลิส (Syphilis) 
  • การเก็บสารคัดหลั่งไปตรวจวิเคราะห์
    วิธีนี้จะอาศัยการเก็บสารคัดหลั่งในช่องคลอด หรือปัสสาวะจากผู้ป่วย นำมาวิเคราะห์หาสารพันธุกรรม และบ่งชนิดของเชื้อ หลังจากนั้นจึงพิจารณาให้การรักษาตามเชื้อที่ตรวจพบ เหมาะสมในผู้ป่วยที่ต้องการทราบชนิดของเชื้อโรคที่ชัดเจน หรือมีปัญหารักษาแล้วไม่หายขาด ซึ่งในปัจจุบันนับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจหาเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เนื่องจากมีความแม่นยำในการตรวจพบเชื้อสูง แม้ไม่มีอาการก็ตรวจพบเชื้อแฝงได้ นำไปสู่การรักษาตั้งแต่ก่อนเกิดอาการ

คำถามที่พบบ่อย : การฝังยาคุม

ยาฝังคุมกำเนิด (Contraceptive Implant) เป็นการใช้ฮอร์โมนชนิดเดียว คือ โปรเจสติน (Progestin) ที่บรรจุเอาไว้ในหลอดหรือแท่งพลาสติกเล็กๆ ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ขนาดเท่าไม้จิ้มฟันชนิดกลม นำมาฝังเข้าไปที่ใต้ผิวหนังบริเวณใต้ท้องแขนด้านในที่ไม่ถนัด ใช้เวลาในการฝังยาประมาณ 10-15 นาที ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะค่อยๆ ซึมผ่านออกมาจากแท่งยาเข้าสู่ร่างกาย และไปยับยั้งการเจริญเติบโตของฟองไข่ ส่งผลทำให้ไม่มีการตกไข่ตามมา จึงช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้นานถึง 3-5 ปี

ยาฝังคุมกำเนิดที่นิยมใช้ในปัจจุบัน จะมีอยู่ 2 ชนิดหลัก ๆ คือ Implanon (1 แท่ง) และ Jadelle (2 แท่ง) มีรายละเอียดแตกต่างกัน ดังนี้

  • Implanon NXT ยาฝังคุมกำเนิดชนิด 1 แท่ง (คุมกำเนิด 3 ปี)

Implanon ชนิดฝัง 1 แท่ง จะมีฮอร์โมน Etonogestrel 68 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นยาสังเคราะห์ที่มีฤทธิ์เลียนแบบ Progesterone โดยจะมีกลไกออกฤทธิ์คุมกำเนิดเหมือนกับการคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยว ซึ่งการทำ 1 ครั้ง จะสามารถคุมกำเนิดได้นาน 3 ปี

  • Jadelle ยาฝังคุมกำเนิดชนิด 2 แท่ง (คุมกำเนิด 5 ปี)

Jadelle ชนิดฝัง 2 แท่ง จะมีฮอร์โมน Levonorgestrel 75 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นยาสังเคราะห์ที่มีฤทธิ์เลียนแบบ Progesterone และมีกลไกการออกฤทธิ์คุมกำเนิดเหมือนกับ Implanon แต่จะสามารถคุมกำเนิดได้นาน 5 ปี

ฤดีวัลย์คลินิกให้บริการฝังยาคุมกำเนิด ชนิด 1 แท่ง (Implanon) สำหรับสาว ๆ คนไหนที่สนใจ สามารถติดต่อนัดหมายเข้ามาใช้บริการยาฝังคุมกำเนิดที่คลินิกได้เลยค่ะ

ติดต่อคลินิก

ฤดีวัลย์คลินิกเฉพาะทางสูตินรีเวช
236 ถนนเลียบคลองรังสิต ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี (คลินิกอยู่ฝั่งตรงข้ามทางลงสะพานแดง รังสิต-คลอง1)

 เวลาเปิดทำการ
วันจันทร์ – วันศุกร์ 17.00-20.00

วันอาทิตย์ 13.00-19.00

หยุดทุกวันเสาร์

ใครที่มีคำถาม หรือข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถติดต่อนัดหมายมาใช้บริการที่คลินิก ได้ที่ เบอร์โทรศัพท์ 092-969 5987 (ตามเวลาทำการคลินิก) หรือทางแชทเพจ ฝากครรภ์รังสิต “ฤดีวัลย์คลินิกเฉพาะทางสูตินรีเวช”  คุณหมอและเจ้าหน้าที่พร้อมดูแลค่ะ

มาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวสุขภาพดีที่ “ฤดีวัลย์ คลินิกเฉพาะทางสูตินรีเวช วันนี้ !

Phone
Messenger
Messenger
Phone