ควรตรวจการตั้งครรภ์เร็วสุดกี่วันถึงจะรู้ว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ สามารถตรวจการตั้งครรภ์ได้ทันที หลังจากที่พบว่าประจำเดือนมาไม่ปกติหรือมีอาการบ่งบอกที่สงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์
ส่วนใหญ่สามารถซื้อที่ตรวจครรภ์ แล้วตรวจด้วยตนเองก่อนได้ค่ะ มักจะตรวจเจอหลังจากที่มีการปฏิสนธิไปแล้ว 7-10 วัน หรือ ประจำเดือนขาดไปเพียง 1 วัน ก็สามารถตรวจได้ทันทีค่ะ
หลังจากนั้นหากผลลัพธ์ขึ้น 2 ขีด แสดงว่ามีโอกาสตั้งครรภ์สูง ควรรีบมาตรวจเพื่อยืนยัน และเข้ารับการฝากครรภ์ต่อไปค่ะ
หลักการตรวจการตั้งครรภ์จะตรวจจากการหาค่าฮอร์โมน Human Chorionic Gonadotropin หรือที่เรียกสั้นว่า ๆ ฮอร์โมนเอชซีจี (hCG) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกิดจากตัวรกหลังจากที่ปฏิสนธิ 6 วันขึ้นไป โดยระดับปริมาณฮอร์โมนเอชซีจีสามารถบอกการตั้งครรภ์และอายุครรภ์คร่าว ๆ ได้ โดยสามารถตรวจได้ 2 วิธีดังนี้
เป็นอุปกรณ์ตรวจครรภ์ด้วยตนเองที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา หรือร้านค้าทั่วไป โดยจะตรวจหาค่าฮอร์โมนเอชซีจีจากการตรวจปัสสาวะ ซึ่งมีให้เลือกหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ปัสสาวะปล่อยผ่าน แบบหยด แบบตลับ และแบบจุ่ม โดยจะแสดงผลอยู่ 3 แบบ ได้แก่
ทั้งนี้การใช้ที่ตรวจครรภ์เป็นการตรวจตั้งครรภ์เบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งอาจมีผลลบลวง หรือผลบวกลวงได้ แนะนำให้ไปพบคุณหมอเพื่อตรวจยืนยันความแม่นยำอีกทีค่ะ
2. ตรวจเลือดที่คลินิก หรือโรงพยาบาล
การตรวจเลือดหาค่าฮอร์โมนเอชซีจีจะมีความแม่นยำ 100% เป็นวิธีที่คุณหมอมักใช้ในการตรวจยืนยันการตั้งครรภ์ โดยจะเจาะเลือดของคุณแม่ส่งตรวจในห้องปฏิบัติการ และจะทราบผลในวันถัดไป คุณแม่สามารถมาตรวจที่คลินิกได้เลย สะดวกและรวดเร็วกว่าไปโรงพยาบาล
การตรวจอัลตราซาวด์สามารถใช้ตรวจการตั้งครรภ์ได้ โดยจะสามารถตรวจได้หลังจากที่มีอายุครรภ์ 5 สัปดาห์ขึ้นไป โดยจะมีเป้าหมายในการตรวจหาตำแหน่งถุงการตั้งครรภ์ว่า อยู่ในมดลูก หรืออยู่นอกมดลูก ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยของการตั้งครรภ์อย่างมาก
การมาฝากครรภ์กับคุณหมออย่างต่อเนื่อง จำเป็นอย่างยิ่งเพราะในระหว่างที่คุณแม่ตั้งครรภ์ อาจเกิดผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้ ดังนั้นการที่คุณแม่ได้รับการดูแลโดยคุณหมอสูตินรีแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการฝากครรภ์ ก็จะช่วยลดการเกิดความเสี่ยงเหล่านี้ได้มาก และสามารถวางแผนรับมือได้อย่างเหมาะสม ภาวะเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้กับคุณแม่ตั้งครรภ์ มี 2 ภาวะดังนี้
ท้องลม (Blighted Ovum) : เป็นการตั้งครรภ์ที่ไม่มีตัวอ่อน หรือตัวอ่อนสลายไปแล้วตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์ เมื่อทำการอัลตราซาวด์จึงพบว่ามีเพียงถุงตั้งครรภ์ แต่ไม่พบตัวอ่อน เป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้กับสาว ๆ ทุกคน ไม่สามารถป้องกันได้ และจะยิ่งพบมากขึ้นในสาว ๆ ที่มีอายุมาก
ท้องนอกมดลูก : เป็นภาวะการตั้งครรภ์ที่อยู่บริเวณอื่นนอกโพรงมดลูก โดยส่วนใหญ่จะพบว่าตัวอ่อนไปฝังตัวอยู่บริเวณท่อนำไข่ แต่ก็สามารถพบการฝังตัวอ่อนที่บริเวณอื่น ๆ ได้เช่นกัน จัดเป็นภาวะผิดปกติที่เมื่อพบแล้วจะต้องยุติการตั้งครรภ์ทันที เพราะอาจเป็นอันตรายต่อตัวคุณแม่
ตรวจสุขภาพโดยสูตินรีแพทย์ ดังนี้
หลังจากการตรวจสุขภาพร่างกายแล้ว คุณหมอจะจ่ายยาบำรุงครรภ์และยาอื่นๆ ที่จำเป็นต่อคุณแม่
พร้อมแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพ สิ่งที่ควรระวังและหลีกเลี่ยงระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อให้คุณแม่และทารกในครรภ์มีสุขภาพที่แข็งแรง
ปกติคุณหมอจะนัดทุกๆ 4 สัปดาห์ค่ะ ในช่วงที่ใกล้คลอด จะนัดถี่ขึ้นอาจจะเป็นทุก 2 สัปดาห์ค่ะ
อย่างไรก็ตาม ในคุณแม่บางท่านที่มีความเสี่ยงของการตั้งครรภ์สูง อาจจะได้รับคำแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติมหรือมีการนัดติดตามอาการถี่ขึ้นค่ะ เช่น การตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือคัดกรองความเสี่ยงดาวน์ซินโดรม คู่เสี่ยงโรคธาลัสซีเมีย รวมถึงการฉีดวัคซีนสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่จำเป็นต้องได้รับ อันได้แก่ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก
เป็นกระบวนการที่ใช้คลื่นเสียงสูงความถี่เพื่อสร้างภาพของทารกในครรภ์ ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่สำคัญในการตรวจสุขภาพของทารกและการติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ช่วยวินิจฉัยโรคหรือปัญหาทางสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ อีกทั้งยังช่วยระบุเพศและตรวจสอบความเป็นปกติของอวัยวะภายในของทารกด้วย
การตรวจอัลตราซาวด์ในแต่ละช่วงอายุครรภ์ มีประเด็นที่สำคัญแตกต่างกัน โดยแบ่งเป็น 3 ไตรมาส
แนะนำให้ตรวจในช่วง 24 สัปดาห์เป็นต้นไป เพราะจะมีโอกาสมองเห็นหน้าของลูกได้อย่างชัดเจน แต่หากอายุครรภ์มากกว่า 35 สัปดาห์ขึ้นไปแล้วก็อาจจะเริ่มเห็นใบหน้าของลูกไม่ชัด เนื่องจากทารกเริ่มกลับหัวและเข้าสู่ช่องเชิงกรานแล้ว
ค่าบริการตรวจอัลตราซาวด์ 4มิติ ภาพชัดเสมือนจริง ราคาโปรโมชั่น 2,250 บาท/ครั้ง รวมค่าบริการทางการแพทย์แล้ว โดยคุณแม่จะได้รับไฟล์ภาพและวิดีโอทั้งหมดส่งทางแชทเพจ และรูปภาพสีขนาด A4
ดาวน์ซินโดรม (Down’s syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่ผิดปกติ แต่กำเนิด เกิดจากการมีโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง โดยดาวน์ซินโดรมนับว่าเป็นความผิดปกติทางโครโมโซมที่พบได้บ่อยที่สุดค่ะ
ทารกที่เป็นดาวน์ซินโดรม จะมีพัฒนาการที่ช้ากว่าปกติ มีความบ่งพร่องทางสติปัญญา และอาจมีความผิดปกติของอวัยวะอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น หัวใจ ทางเดินอาการ และระบบต่อมไร้ท่อ เป็นต้น
คุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคน มีความเสี่ยงที่จะมีลูกเป็นดาวน์ซินโดรมค่ะ แต่ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตาม อายุของคุณแม่ โดยถ้าคุณแม่มีอายุมาก(โดยเฉพาะถ้ามากกว่า 35 ปี) ความเสี่ยงในการมีลูกเป็นดาวน์ซินโดรมจะสูงกว่าคุณแม่ที่อายุน้อย หรือผู้ที่เคยมีประวัติคนในครอบครัวเป็นดาวน์ซินโดรม และคุณแม่ที่เคยคลอดบุตรคนก่อนเป็นดาวน์ซินโดรม หากตั้งครรภ์ครั้งต่อไป จะมีโอกาสที่ทารกเป็นดาวน์ซินโดรมค่ะ
ผู้หญิงทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสาวเล็กหรือสาวใหญ่ ตรวจเข้ารับการตรวจภายใน เพื่อให้คุณหมอช่วยคัดกรองความผิดปกติให้ เนื่องจากโรคนรีเวชหลายชนิด อาจไม่อาการแสดงอาการให้ตัวคนไข้เองสังเกตได้ จนกว่าตัวโรคจะเริ่มเป็นมากและรักษายากแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น ช็อกโกแลตซีสต์ (chocolate cyst), เนื้องอกรังไข่ (ovarian tumor) ซึ่งสองโรคนี้จะต้องมีขนาดใหญ่มาก คนไข้ถึงจะคลำได้เองและมาพบแพทย์, เนื้องอกหรือติ่งเนื้อโพรงมดลูก, มะเร็งรังไข่หรือมะเร็งปากมดลูก หรือสาวๆคนไหนที่มีอาการผิดปกติ ตัวอย่างเช่น ปวดท้องประจำเดือนหรือปวดอุ้งเชิงกราน, ประจำเดือนมาผิดปกติหรือมามาก, มีเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ, ตกขาวผิดปกติ, มีแผลบริเวณอวัยวะเพศ, คลำก้อนได้ที่ท้องน้อย, มีบุตรยาก
อาการเหล่านี้ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุโดยเร็วค่ะ การตรวจภายในเป็นประจำทุกปี ทำให้ตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ทำให้การรักษาเป็นไปได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับสาวๆไทยนั้น แนะนำให้เริ่มเข้ารับการตรวจภายในตั้งแต่อายุ 25 ปี หรือภายหลังมีเพศสัมพันธ์ 3 ปี โดยในการตรวจภายในนั้น แนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกไปด้วยพร้อมๆกันเลยค่ะ
ตรวจปีละ 1 ครั้ง หรือ หากมีอาการผิดปกติที่กล่าวไปข้างต้น สามารถมาตรวจก่อนครบรอบได้
หยุดตรวจที่อายุ 65 ปี
ตกขาวปกติจะมี สีขาวหรือใส และไม่มีกลิ่นเหม็น แต่สำหรับอาการตกขาวที่ผิดปกติ จะมีสีที่ต่างไปจากเดิม มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ และเป็นก้อนหนา ดังต่อไปนี้ค่ะ
ประจำเดือนที่ผิดปกติ พูดง่ายๆก็คือ ไม่ได้เป็นไปตามแบบแผนของประจำเดือนที่กล่าวไปนั่นเองค่ะ โดยเป็นได้ทั้งผิดปกติที่รอบเดือนมาถี่ไปหรือห่างไป, ประจำเดือนมากะปริบกะปรอย, ประจำเดือนมามาก และ/หรือมีลิ่มเลือดปน, มีเลือดออกนอกรอบประจำเดือนค่ะ
หากมีประจำเดือนผิดปกติ อันตรายไหม ?
อันตรายแน่นอนค่ะ เพราะการที่มีประจำเดือนผิดปกติ มักมีสาเหตุทางกายภาพค่ะ โดยสาเหตุที่พบบ่อยก็แตกต่างไปตามกลุ่มอายุ ยกตัวอย่างเช่น มีประจำเดือนห่าง ร่วมกับมีสิวและผิวมันจากภาวะไข่ไม่ตกเรื้อรัง มีฮอร์โมนไม่สมดุล ซึ่งพบบ่อยในวัยรุ่น, มีติ่งเนื้อในโพรงมดลูก เนื้องอกมดลูก มดลูกโต มีเซลล์ปากมดลูกผิดปกติ ซึ่งพบได้ในสาวๆวัยเจริญพันธุ์, และที่อันตรายที่สุดคือ เป็นอาการแสดงของมะเร็งซึ่งมักพบในช่วงอายุวัยกลางคนขึ้นไปค่ะ
ดังนั้นการมีประจำเดือนผิดปกติ ไม่ควรปล่อยไว้รอหายเองนะคะ เพราะก่อนที่จะหาย อาจได้โรคอื่นแทรกซ้อนขึ้นมาก่อนค่ะ แนะนำปรึกษาคุณหมอตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อช่วยวินิจฉัยก่อนจะเกิดโรคที่อันตรายและรักษายาก
อันดับแรกจะต้องพบคุณหมอเฉพาะทางเฉพาะทางเพื่อสอบถามประวัติเบื้องต้นก่อนนะคะ ทั้งอายุโรคประจำตัว, ยาประจำที่ใช้อยู่, ลักษณะประจำเดือน และระยะเวลาที่เกิดความผิดปกติค่ะ จากนั้นคุณหมอจะตรวจเพิ่มเติมด้วย การตรวจภายในและอัลตราซาวด์มด/ลูกรังไข่ เพื่อประเมินรอยโรคที่ปากมดลูก ขนาดมดลูก เนื้องอก ติ่งเนื้อ พังผืด และปีกมดลูกค่ะ
ซึ่งในขั้นตอนนี้ แนะนำให้สาวๆตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกไปพร้อมกันเลยค่ะ เพราะรอยโรคบริเวณปากมดลูกสามารถทำให้เกิดเลือดออกได้เช่นกันนะคะ
โรคมะเร็งปากมดลูก คือ โรคมะเร็งที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแปปิโลมาไวรัส (Human papillomavirus) สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง 14 สายพันธ์ุ ได้แก่ 16, 18, 31, 33, 35, 39, 45, 51, 52, 56, 58, 59, 66 และ 68 ซึ่งจะได้รับจากการมีเพศสัมพันธ์ แล้วทำให้บริเวณนั้น ๆ เกิดรอยถลอก หรือบาดแผลเล็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็น เยื่อบุผิวปากมดลูก เยื่อบุผิวช่องคลอด หรือปากช่องคลอด ทำให้ติดเชื้อ และส่งผลให้เซลล์บริเวณปากมดลูกเกิดความผิดปกติ และกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด
ถึงแม้จะดูเป็นโรคที่น่ากลัว แต่มะเร็งปากมดลูกไม่ได้ถ่ายทอดผ่านกรรมพันธุ์ และเป็นหนึ่งในโรคมะเร็งไม่กี่ชนิดที่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน HPV ค่ะ
วิธีการตรวจมะเร็งปากมดลูกที่นิยม จะมีอยู่ 4 วิธีหลัก ๆ ดังนี้
การตรวจแปบเสมียร์* เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกแบบดั้งเดิม โดยคุณหมอจะใช้เครื่องมือสอดและถ่างบริเวณปากช่องคลอด แล้วใช้แปรงเล็ก ๆ ป้ายเซลล์จากบริเวณมดลูกส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจหาเซลล์ที่ผิดปกติ หรือเซลล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นโรคมะเร็งได้
การตรวจลิควิดเบสเป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกรูปแบบใหม่ โดยจะใช้แปรงเก็บตัวอย่างเซลล์ไว้ในน้ำยาเพื่อรักษาเซลล์ มีข้อดีกว่าการตรวจแปบเสมียร์ ดังนี้
การตรวจลิควิดเบสนั้น จะแนะนำให้ตรวจทุก ๆ 1 – 2 ปี โดยปกติแล้ว จะสามารถตรวจได้ตั้งแต่ตอนอายุ 30 ปีขึ้นไป แต่ในบางรายอาจเริ่มตรวจได้ตั้งแต่อาย 25 ปีขึ้นไป ขึ้นอยู่กับการประเมินของคุณหมอ
เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัสเอชพีวีโดยตรงด้วยเทคนิคด้านชีวโมเลกุล จะมีวิธีการเหมือนกับการตรวจลิควิดเบส แต่จะเก็บตัวอย่างเซลล์ในน้ำยาสำหรับ HPV DNA test โดยเฉพาะ แล้วทำการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ข้อดีของการตรวจ HPV DNA test จะสามารถตรวจหาเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็งปากมดลูก ได้แก่ 16, 18, 31, 33, 35, 39, 45, 51, 52, 56, 58, 59, 66 และ 68 ซึ่งจะมีความไวในการตรวจหารอยโรคก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูกได้เร็วกว่าวิธีอื่น ๆ
การตรวจ HPV DNA test นั้น แนะนำให้ตรวจทุก 3 – 5 ปี โดยปกติแล้ว จะสามารถตรวจได้ตั้งแต่ตอนอายุ 30 ปีขึ้นไป แต่ในบางรายอาจเริ่มตรวจได้ตั้งแต่อาย 25 ปีขึ้นไป ขึ้นอยู่กับการประเมินของคุณหมอ
เป็นการนำวิธีตรวจลิควิดเบส และ HPV DNA Test มาร่วมกัน ทำให้มีความแม่นยำสูงสุด มีความไวในการตรวจเจอรอยโรคก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูกได้สูงถึง 99% และดูได้ลึกถึงเชื้อก่อโรคว่า เป็นเชื้อไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์อะไร
โดยการตรวจแบบคู่จะแนะนำให้ตรวจทุก 3 – 5 ปี และสามารถตรวจได้ตั้งแต่ตอนอายุ 30 ปีขึ้นไปเช่นกันค่ะ
การตรวจมะเร็งปากมดลูกจะเหมาะกับสาว ๆ ที่มีเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว หรือมีอายุ 30 ปีขึ้นไปค่ะ
โดยปกติแล้ว ผู้หญิงทุกคนควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เมื่อมีอายุ 30 ปี และหลังจากนั้นให้ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกซ้ำทุก 2 – 3 ปี ขึ้นอยู่กับการประเมินของคุณหมอ
หลังจากที่ตรวจมะเร็งปากมดลูกแล้ว หากผลเป็นปกติ ให้ตรวจทุก ๆ 2 ปี และถ้าผลเป็นปกติติดต่อกัน 3 ครั้ง ร่วมกับไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ต่อการเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก เช่น มีการติดเชื้อ HIV มีคู่นอนหลายคน มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย หรือคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก สามารถเว้นระยะห่างการตรวจเป็นทุก ๆ 2 – 3 ปี ได้ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้ทำการตรวจให้เพิ่มเติม
อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อโรคและความรุนแรงของโรค อาการที่พบบ่อยในผู้หญิง ได้แก่
อย่างไรก็ตาม โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อันตรายบางชนิดไม่ได้มีอาการแสดงที่ชัดเจน ดังนั้นหากประเมินแล้วว่าตนเองว่ามีความเสี่ยงในการเกิดโรค ควรพิจารณาเข้ารับการตรวจหาเชื้อจากสารคัดหลั่ง หรือการเจาะเลือดอย่างเหมาะสม เพื่อให้ตรวจจับเชื้อได้ตั้งแต่ก่อนมีอาการรุนแรง
การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นกับอาการและสิ่งที่ต้องการจะตรวจ โดยอาจแบ่งตามวิธีการได้ดังนี้ค่ะ
ยาฝังคุมกำเนิด (Contraceptive Implant) เป็นการใช้ฮอร์โมนชนิดเดียว คือ โปรเจสติน (Progestin) ที่บรรจุเอาไว้ในหลอดหรือแท่งพลาสติกเล็กๆ ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ขนาดเท่าไม้จิ้มฟันชนิดกลม นำมาฝังเข้าไปที่ใต้ผิวหนังบริเวณใต้ท้องแขนด้านในที่ไม่ถนัด ใช้เวลาในการฝังยาประมาณ 10-15 นาที ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะค่อยๆ ซึมผ่านออกมาจากแท่งยาเข้าสู่ร่างกาย และไปยับยั้งการเจริญเติบโตของฟองไข่ ส่งผลทำให้ไม่มีการตกไข่ตามมา จึงช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้นานถึง 3-5 ปี
ยาฝังคุมกำเนิดที่นิยมใช้ในปัจจุบัน จะมีอยู่ 2 ชนิดหลัก ๆ คือ Implanon (1 แท่ง) และ Jadelle (2 แท่ง) มีรายละเอียดแตกต่างกัน ดังนี้
Implanon ชนิดฝัง 1 แท่ง จะมีฮอร์โมน Etonogestrel 68 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นยาสังเคราะห์ที่มีฤทธิ์เลียนแบบ Progesterone โดยจะมีกลไกออกฤทธิ์คุมกำเนิดเหมือนกับการคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยว ซึ่งการทำ 1 ครั้ง จะสามารถคุมกำเนิดได้นาน 3 ปี
Jadelle ชนิดฝัง 2 แท่ง จะมีฮอร์โมน Levonorgestrel 75 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นยาสังเคราะห์ที่มีฤทธิ์เลียนแบบ Progesterone และมีกลไกการออกฤทธิ์คุมกำเนิดเหมือนกับ Implanon แต่จะสามารถคุมกำเนิดได้นาน 5 ปี
ฤดีวัลย์คลินิกให้บริการฝังยาคุมกำเนิด ชนิด 1 แท่ง (Implanon) สำหรับสาว ๆ คนไหนที่สนใจ สามารถติดต่อนัดหมายเข้ามาใช้บริการยาฝังคุมกำเนิดที่คลินิกได้เลยค่ะ
ฤดีวัลย์คลินิกเฉพาะทางสูตินรีเวช
236 ถนนเลียบคลองรังสิต ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี (คลินิกอยู่ฝั่งตรงข้ามทางลงสะพานแดง รังสิต-คลอง1)
เวลาเปิดทำการ
วันจันทร์ – วันศุกร์ 17.00-20.00
วันอาทิตย์ 13.00-19.00
หยุดทุกวันเสาร์
ใครที่มีคำถาม หรือข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถติดต่อนัดหมายมาใช้บริการที่คลินิก ได้ที่ เบอร์โทรศัพท์ 092-969 5987 (ตามเวลาทำการคลินิก) หรือทางแชทเพจ ฝากครรภ์รังสิต “ฤดีวัลย์คลินิกเฉพาะทางสูตินรีเวช” คุณหมอและเจ้าหน้าที่พร้อมดูแลค่ะ
มาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวสุขภาพดีที่ “ฤดีวัลย์ คลินิกเฉพาะทางสูตินรีเวช วันนี้ !